ในช่วงนี้หลาย ๆ คนที่ต้องออกไปข้างนอกในช่วงเวลากลางวันจะรู้สึกว่าแดดร้อนผิดปกติ บางวันโดนแดดไม่ถึง 10 นาทีก็เริ่มแสบปะร้อนผิวกันแล้วใช่ไหมล่ะคะ นั่นก็เพราะว่าตอนนี้ค่าดัชนี UV นั้นสูงขึ้นโดยหลายจังหวัดในประเทศไทยนั้นมีค่าดัชนีที่สูงเกิน 10 ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายนั่นเองค่ะ วันนี้เราจะมาพูดถึงภัยร้ายที่มากับ UV กันค่ะ
1. ผิวไหม้แดด
ผิวไหม้แดดเกิดจากรังสี UVB แม้ระยะคลื่นของรังสีชนิดนี้จะสั้นกว่า(290-320 nm) แต่ก็มีพลังงานที่เข้มข้นมากกว่าโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางวัน จึงทำให้ผิวที่โดนรังสี UVB นั้นเกิดภาวะไหม้ได้นั่นเอง
2. มะเร็งผิวหนัง
รังสี UVA และ UVB ถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังได้เพราะ พลังงานคลื่นของรังสีจะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ และส่งผลกระทบต่อ DNA ทำให้DNA เกิดความเสียหาย และอาจกลายเป็นมะเร็งผิวหนังในท้ายที่สุด (ผลการวิจัยจากเว็บไซต์ Science Learning ที่เผยว่า กว่า 90% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนัง มีสาเหตุมาจากรังสี UV)
3. ฝ้า-กระ
ปัญหาฝ้า-กระ ปัจจัยหลักนั้นก็มาจากแสงแดดเช่นเดียวกันโดยรังสียูวีเอจะกระตุ้นเม็ดสีเมลานินที่อยู่ในเซลล์ผิวชั้นบนทำให้ผิวเป็นสีน้ำตาลในระยะสั้น ในขณะที่รังสี UVB จะกระตุ้นการผลิตเมลานินใหม่ ที่มีสีน้ำตาลดำติดทนนานพร้อมกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวหนังชั้นนอกให้หนาขึ้น จนท้ายที่สุดอาจจะกลายเป็นฝ้า-กระในระดับลึกได้
4. ผิวเหี่ยว มีริ้วรอยก่อนวัย
อีกหนึ่งปัญหาจากแสงแดดก็คือผิวเกิดริ้วรอย ดูเหี่ยวไม่กระชับซึ่งเกิดจากรังสีUVA สามารถลงไปลึกได้ถึงชั้นคอลเลาเจนและส่งผลให้คอลลาเจนทำงานผิดปกติ ในส่วนของรังสี UVB นั้นจะทำร้ายผิวชั้นนอก จนสุดท้ายทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นและกลายเป็นปัญหาผิวเหี่ยวและริ้วรอยตามมานั่นเอง
5. ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว
รังสีUVสามารถทำร้ายเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ โดยรังสี UVA นั้นมีความรุนแรงที่สามารถกดภูมิคุ้มกันได้ โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า รังสี UV นั้นมีผลกระทบต่อการกระจายตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาว รวมไปถึงการก่อตัวของอนุมูลอิสระส่งผลกระทบทางอ้อมต่อดีเอ็นเอ ทำให้เมื่อโดนแดดซ้ำ ๆ ภูมิคุ้มกันก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดอาจจะส่งผลให้ป่วยหรือเกิดภาวะติดเชื้อตามมาได้
6. Oxidative Stress
Oxidative stress ภาวะถูกออกซิไดซ์เกินสมดุลเกิดจากการเพิ่มขึ้นของอนุมูลอิสระ และสารเกี่ยวข้องที่เป็นผลิตผล หรือความบกพร่องของการป้องกันอันตรายจากการเกิดออกซิเดชั่น เนื่องจากปริมาณเอนไซม์ที่ทำหน้าต้านการเกิดปฏิกิริยาดังกล่าวลดลง หรือการทำงานที่ผิดปกติ เมื่ออนุมูลอิสระทำงานผิดปกติจนสูงขึ้นก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของอนุมูลอิสระอันมีความไวต่อชีวโมเลกุลภายในเซลล์ ในท้ายที่สุดเซลล์ก็จะถูกทำลาย นอกจากนี้อนุมูลอิสระมีความสำคัญต่อกระบวนการเกิดมะเร็ง และทำให้เซลล์มะเร็งมีคุณสมบัติในการกระจายตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วย
รังสีจากแดดทั้ง UVA และ UVB นั้นล้วนส่งผลกระทบกับร่างกายของเราเพราะทั้งสองรังสีมีช่วงความยาวคลื่นที่แตกต่างกันทำให้เกิดผลกระทบที่ต่างกัน หากเป็นไปได้ก็ควรเลี่ยงที่จะเจอกับแสงแดดตรง ๆ กันนะคะ และวิธีปกป้องผิวของเรามีหลายวิธี ไม่ว่าจะใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด พกร่มที่กัน UV ได้ และทาครีมกันแดดค่ะ การทาครีมกับแดดทุกครั้งเมื่อต้องออกมาเผชิญแสงนั้นสามารถปกป้องผิวได้มาก ๆ เลยนะคะ ซึ่งครีมกันแดดนั้นจะมีสองประเภทคือ Chemical sunscreen และ Physical sunscreen ซึ่งไม่ว่าเราจะเลือกใช้ประเภทไหน ตัวครีมกันแดดก็มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสีทั้งสองค่ะ นั่นก็คือ PA เพราะ PA (Protection Grade of UVA) จะเป็นตัวที่ป้องกันรังสีUVA ซึ่งจะมีความสามารถในการป้องกันตั้งแต่1 ไปจน 16 เท่าค่ะ สามารถสังเกตได้ที่จำนวนสัญลักษณ์ + หลัง PA ในส่วนของ UVB คือ SPF (Sun Protection Factor) โดยตัวเลขด้านหลังของ SPF คือจำนวนเวลาที่จะทำให้ผิวเกิดอาการแดง เช่น SPF 15 คือการใช้ระยะเวลานานกว่า 15 เท่าของเวลาที่ทำให้ผิวแดงเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เรายังไม่ได้ทาครีมกันแดดนั่นเองค่ะ
ที่สำคัญการทาครีมกันแดดนั้นช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาผิวหน้าไหม้ และปัญหาฝ้า-กระได้ด้วยนะคะเพราะเป็นการลดการเกิดผลกระทบของรังสีที่มีต่อผิวค่ะ ส่วนใครที่เผชิญปัญหาฝ้า-กระจากแดดอยู่ก็ยังต้องทาครีมกันแดดเพื่อไม่ให้ฝ้า-กระเพิ่มขึ้นนะคะ ในส่วนของวิธีรักษาฝ้า-กระก็ขอแนะนำให้ทางลัดในการรักษาฝ้า-กระด้วยเลเซอร์ควบคู่กับการทายาค่ะ เพราะในตอนนี้มีหลากหลายเทคโนโลยีที่สามารถรักษาและสลายฝ้ากระได้ในระยะเวลาที่น้อยลงจากเดิม เช่น Pico sure , advance multi laser โดยไม่มีผลข้างเคียงหลังการทำอีกด้วย จึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีในการรักษาฝ้า-กระทีเดียวค่ะ สุดท้ายนี้เพื่อความปลอดภัยและสุขภาผิวที่ดีอย่าลืมดูแลและปกป้องผิวของเราอย่างถูกวิธีกันนะคะ